Hero and The Thief
ฮีโร่...คำที่แสนสวยหรู แล้วถ้าหัวขโมยคิดอยากจะเป็นฮีโร่กับเขาบ้างล่ะ?! จะเกิดอะไรขึ้น!
ผู้เข้าชมรวม
462
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาจากหน้าต่างบานน้อย บ่งบอกถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ หญิงสาวคนเดียวนั่งอยู่มุมห้องกระพริบตาถี่ เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ กวาดสายตามองไปรอบห้องอันคุ้นเคย ห้องที่ว่างเปล่า ถูกล้อมรอบด้านด้วยลูกกรงเหล็กที่แข็งแกร่ง
ข้างตัวเธอนั้นคือชายหนุ่มผมสีนิลที่ยังคงตกอยุ่ในภวังค์แห่งการหลับใหล เขานอนแผ่ยาว มือวางระเกะระกะ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทำให้ผู้มองอย่างเธอรู้สึกไม่พอใจนัก เท้าข้างหนึ่งยื่นไปอย่างอัตโนมัติ พร้อมกับเขี่ยเบาๆที่สีข้าง
“สงสัยจะเบาไป” เธอว่า พร้อมออกแรงเพิ่มอีกนิด จนร่างของชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหว และด้วยความหมั่นไส้ หรืออะไรบางอย่าง เธอจึงเขี่ยอย่างสุดแรงจนชายหยนุ่มกระเด็นไปสุดห้อง
เขารู้สึกตัว และลุกขึ้นมายืนบิดขี้เกียจเล็กน้อย ด้วยความสูงขนาดเกินมาตรฐานนั้น ทำให้ร่างของเขาบังหน้าต่างบานน้อยมิด เธอเงยหน้ามองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ว่าไง วันนี้คิดแผนอะไรได้บ้าง?” หญิงสาวถาม แต่เขาดูไม่สนใจนัก และยังคงใช้มือเสยผมรากไทรอย่างตั้งใจเกินเหตุ
“สงสัยจะอยากเจ็บตัวแต่เช้านะแกเนี่ย” เธอขึ้นเสียงอย่างมีน้ำโห และรู้สึกเกลียดจริงๆ กับการที่พูดอะไรแล้วไม่มีใครตอบ
“...” ชายหนุ่มมองอย่างไม่ยี่หระ พร้อมกับเดินไปดูลู่ทาง ไม่ทันไรก็มีชายวัยกลางคนเดินผ่านมา เขาอยู่ในชุดข้าราชการชั้นล่าง เสื้อผ้าที่เก่าจนสีมอนั้นปริออกจนเกินเยียวยา ด้วยหุ่นที่สมบูรณ์จัดจึงทำให้กระดุมทุกเม็ดต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะยึดเสื้อให้ติดกันเอาไว้
“ตื่นแล้วเรอะพวกแก” เขายิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ ก่อนที่จะเตะชามข้าวเก่าๆ ที่มีเศษอาหารค้างเกาะติดรอบจานมาให้
“กินซะสิ หึๆ อ้อ! คงไม่ต้องแล้วสินะ พอดีฉันก็ลืมไปว่า พวกแกคงจะอยู่ต่อไปได้ไม่เกินวันนี้อีกแล้ว..” เขาระเบิดเสียงหัวเราะทันทีที่พูดจบ หญิงสาวอดไม่ได้จริงๆ ที่จะอยากเตะจานข้าวนั้นไปใส่ปากชายตรงหน้า
“เก็บไว้กินเองเถอะค่ะท่าน ฉันคิดว่าท่านคงจะหิว” เธอถลนตามองหน้าชายร่างท้วมจนเบ้าตาแทบจะทะลักออกมา ก่อนที่จะพูดต่อ “อ้อ! ฉันก็ลืมไป แย่จริงๆ ท่านคงจะไม่ต้องอยู่ให้หนักแผ่นดินแล้วนี่คะ”
“นี่พวกแกคิดจะทำอะไรฉัน คิดเรอะว่าจะมีปัญญามาฆ่าฉันได้ แค่ออกไปจากที่นี้แกยังทำไม่ได้เลย” เขาหัวเราะอีกครั้งพร้อมกับหันหลังเดินออกจากห้อง หาได้รู้เลยว่าการหันหลังให้พวกเธอนั้นเป็นความคิดผิดมหันต์
ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบฉววยโอกาสเตะจานข้าวไปที่ท้ายทอยของชายอ้วนทันที ด้วยความเร็วในการเตะทำให้ร่างนั้นล้มลงหมดสติอยู่ที่พื้น เขาเหวี่ยงเข็มขัดไปเกี่ยวเข้ากับกุญแจที่ผูกอยู่กับสีข้าง ด้วยแรงกระชากเพียงนิดหน่อย กุญแจก็มาอยู่ในมือของชายหนุ่มอย่างง่ายดาย
“ตกลงจะให้ฉันทำคนเดียวใช่ไหม” เธอยักไหล่กับคำถามนั้น ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องขัง ที่ภายนอกนั้นเป็นเขตชานเมืองห่างไกลผู้คน สองเท้าก้าวออกไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย น่าแปลกที่ครั้งนี้ไม่มีทหารยามนับสิบที่มักประจำการตลอด 24 ชั่วโมง
ร่างสูงลากเธอมา จนกระทั่งถึงถนนใหญ่ และคำตอบทุกอย่างก็ได้กระจ่างแก่สายตา ภาพขบวนนำเสด็จยาวสุดสายตา ประชาชนหลั่งไหล่เข้าชมพระบารมีของผู้นำประเทศอย่างคับคั่ง สีหน้าปลาบปลื้มยินดีระบายทั่ว
“ดูจะมีความสุขกับการตายของฉันเหลือเกินนะ” มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ก็ทั้งราชา และราชินีนั้นเสด็จมาเป็นประธานในการประหารพวกเธอ! กะอีแค่การบุกไปช่วยนักโทษจานแดนประหารก็เท่านั้น
หลังจากการลักลอบเข้าเขตวัง ต่อด้วยทะลวงไปยังคุกใต้ดินนั้นล่ววงรู้ถึงหูมหาดเล็ก เท่านั้นแหละ! ฝูงทหารก็วิ่งกรูกันมานับร้อย! แล้วคุกใต้ดินมันใหญ่พอให้พวกแกเข้ามาได้เรอะ!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพมันจะเป็นยังไง ที่เดินยังไม่มี ที่หนีคงไม่ต้องคิด! แค่หัวขโมยอยากจะผันตัวเองมาเป็นฮีโร่นี่มันผิดมากนักหรือไง! ในเมื่อหนีไม่ได้ เหลือเพียงหันทางสุดท้ายคงต้องใช้กำลัง!
การประดาบถือกำเนิดขึ้น เมื่อสาวเจ้าจับดาบขึ้นฟาดฟัน มือบางที่ถนัดแต่เรื่องหยิบฉวยก็ต้องพ่ายแพ้ในเวลาไม่นาน ส่วนคนข้างตัวนั้นอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน นอกจากจะไม่ได้คนที่ต้องการกลับไปแล้ว ยังต้องมาโดนจับเข้าคุกอีก! นับเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนอย่างหาที่สุดไม่ได้จริงๆ
จะว่าไปก็เหมือนลืมอะไรบางอย่าง...ให้ตายสิ! ดันลืมเรื่องสำคัญที่สุดไป! “พี่ส...”
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! โอ้ย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!” เธอหันควับตามต้นเสียง หญิงสาวผิวขาวจัดถูกมัดติดกับท่อนไม้บนแท่นสูงอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวด เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยจากการทรมาน น้ำใสหลั่งจากดวงตาสีแดงไม่ขาดสาย
เนตรสีแดงอีกคู่เบิ่งด้วยความตกใจ สิ่งที่เธอลืมก็คือพี่สาวของเธอ! พี่สาวถึงแม้จะต่างสายเลือดแต่ก็โตมาด้วยกัน โตมาพร้อมๆ กับเจ้าชายหนุ่มหัวดำนี่ด้วย ตั้งแต่วัยเด็กแล้วที่ทั้งสามได้มาเจอกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อันที่จริงน่าจะเรียกว่าสถานทารุณกำเด็กไร้ญาติน่าจะเหมาะกว่า
เพราะการเลี้ยงดูที่แสนจะสมบุกสมบันนั้นมันเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนที่นั่นต้องเจอ แล้วยังการศึกษาแบบกระปริบกระปรอยอีก บุคคลที่โตจากที่นั่นทั้งสามคนนี้ถึงได้มีอาชีพเป็นใหญ่เป็นโตอย่างปัจจุบัน ทั้งเธอและเขานั้นต่างเป็นหัวขโมย ส่วนคนที่เธอเรียกว่าพี่สาวนั้นดูจะมีชีวิตที่ดีกว่าพวกเธอ
เพราะด้วยโอกาสที่ถูกยื่นเข้าจากหนุ่มร่างท้วมว่าที่ขุนคลังคนใหม่ ที่เสนอให้พี่สาวแต่งงานกับเขา ด้วยใบหน้าอันงดงาม กอปรกับร่างบางอรชอนจึงไปถูกตาต้องใจเขาเข้า แต่กระนั้นพี่สาวก็ยังขอให้เว้นช่องว่างทำความรู้จักกันด้วยการหมั้นไว้ก่อน ชายอ้วนก็ยังยอมจะทำตาม แถมยังเปิดร้านเบเกอรี่ให้อีกด้วย
หลังจากการหมั้นหมายเหตุการทุกอย่างดูจะสงบ และเรียบง่ายเหมือนเคย ยกเว้นก็แต่ชายหนุ่มอีกคนที่ได้เข้ามาในชีวิต เขาเป็นลูกค้าประจำของพี่สาว และมักจะแวะซื้อของมาฝากบ่อยครั้ง ทำให้ทั้งสองสนิทกัน จนกระทั่ง...คืนหนึ่ง
คืนที่ฝนตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว เมืองที่คลาคร่ำไปด้วยผู้คน กลับกลายเป็นเมืองร้างยามเมื่อทุกอย่างเปียกปอน ความมืดแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ ร้านรวงต่างๆ ดับไฟจนเหลือเพียงแสงสว่างจากเทียนเล่มเล็กในร้านขายขนมปัง
หญิงสาวหนึ่งเดียวมือเป็นระวิงกับการล้างเตาอบ เธอลงมือขัดคราบเนยที่บัดนี้แข็งเกรอะกรังจนล้างไม่ออก “ถ้าเจ้าสองคนนั้นอยู่ด้วยก็ดีสินะ” เธอเปรยเบาพลางนึกไปถึงเด็กสองคนทีทมักจะมาสิงสถิตประจำที่ร้าน แต่พอฟ้ามืดเท่านั้นแหละ หายไปอย่างกับโดนธรณีสูบ!
“ขอโทษนะครับ ขอรบกวนหน่อยครับ” ประตูเปิดแง้มออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มในชุดเปียกโชก ผมสีน้ำเงินเปียกลู่ลง มันแทบจะกลืนไปกับท้องฟ้าในยามนี้ ชายหนุ่มก้าวเข้าในร้านอย่างถือวิสาสะ “พอดีฝนตก ผมเลยจะขอรบกวนหลบที่นี่จนกว่าฝนจะหยุดน่ะครับ”
“ตามสบายค่ะ” เธอยิ้มให้เล็กน้อย ใบหน้ารูปสลักคุ้นตาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มือหนาเสยผมปรกหน้าลวกๆ “พอจะมีผ้าสักผืนไหมครับ” เขารับผ้าสีขาวผืนน้อยในเวลาถัดมา “ฉันยังมีวาฟเฟิลที่คุณชอบอยู่อีกชิ้น จะรับไหมคะ”
การสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มีทั้งการถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาคนรู้จักกัน เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังเป็นระลอก โดยหารู้ไม่เลยว่า พอฝนนั้นเริ่มซา บางสิ่งบางอย่างก็ใกล้เข้ามา จากเงาตะคุ่ม กลับกลายเป็นกลุ่มคนขนาดย่อมที่กำลังมุ่งหน้าตรงมา ทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายที่เดียวกันคือ...ร้านเบเกอรี่
“จริงเหรอคะ ที่นั่นคงจะสวยมากเลย ฉันอยากไปบ้างจัง” หญิงสาวยิ้มละไม เธอไม่เคยได้ออกจากเมืองนี้ตั้งแต่เกิด การได้ฟังเรื่องราวผจญภัยจึงยิ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้
“จริงสิ ถ้าเธอยากไป ฉันจะพาไปด้วยก็ได้นะ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ “สัญญานะ”
“สัญญาสิ” นิ้วก้อยทั้งสองเกี่ยวกันเป็นพันธะสัญญา ปากทั้งคู่ประดับไปด้วยรอยยิ้มพราว ดวงตามองสบกัน ก่อนที่ใบหน้าจะเลื่อนใกล้กัน
ปึง!!!
“ทำอะไรน่ะ!!” เสียงตวาดดังหลังจากประตูเปิดโพลงออก ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของชายร่างท้วมปรากฏชัดท่ามกลางความมืด สีแดงทาทาบไปจนถึงใบหู นิ้วชี้สั่นระริกก่อนจะตวาดอีกครั้ง “ไปจับตัวชายโฉดหญิงชั่วนี่ออกมา!!”
“ท่าน! ไม่ใช่อย่าที่ท่านคิดนะคะ! ฟังฉันก่อนค่ะ!” หญิงสาวดิ้นรนหาทางหนี แต่กลับดูไร้ผลเมื่อยู่ในเงื้อมือราวกับคีมเหล็กนี้ ข้อมือบางถูกยึดไว้โดยชายฉกรรณ์สองนาย แม้เธอจะอ้อนวอนสักแค่ไหนก็ดูไม่เป็นผล เมื่อชายท้วมในชุดขุนนางยังคงตวาดด่าต่างๆ นานาไม่คิดจะฟัง
“ท่านครับ! ผมกับเธอ เราไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดนะครับ!”
“ไม่ได้เป็นเรอะ! ซ้อมมัน! ถ้าไม่หนักพวกแกจะโดนซ้อมแทน!” เขาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว ทั้งๆ ที่เขาเฝ้ารัก เฝ้าเอาใจหล่อนทุกอย่าง ยอมที่จะหมั้นไว้ก่อน ยอมจะเปิดร้านขนมนี่ให้แล้วแท้ๆ แต่ดูสิ่งที่เขาได้รับกลับมาสิ!
“ส่วนเธอ! หญิงชั่วอย่างเธอ! มันต้องโดนประจาร! เอานังนี่ไปเข้าคุกรอวันประหาร!”
“ไม่นะคะท่าน! ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด! ท่านจะทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะคะ!” เสียงใสนั้นสั่นเครือไปจนกระทั่งในคุก น้ำตาไหลพรากราวกับสูญเสียของรักไป มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นจริง เพราะถ้าเธอยังไม่รีบอธิบายให้เขาได้รู้ เธอคงต้องเสียชีวิตแน่!
“อธิบายให้ฉันฟังที่แท่นประหารแล้วกัน!” ประตูหนาปิดลง พร้อมกับเสียงร้องที่เงียบหายไป..
“ต้องให้ไอ้บ้านั่นมันฟันพี่ก่อนรึไงหา! แกถึงจะไปช่วย!” คนหัวดำตวาดเข้าให้ ก่อนที่หญิงสาวจะสะบัดหัวเรียกสติให้กลับมาอยู่ปัจจุบัน เรื่องทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นเพราะเจ้าอ้วนนั่นแท้ๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะความหึงหวงบ้าบอคอแตก ไม่ดูตาม้าตาเรือ มีหรือพี่เธอถึงต้องไปถูกมัดห้อยต่องแต่งติดกับท่อนไม้แบบนั้น!
ให้ตายสิ!
คิดพลางเท้าก็ออกวิ่งตามคนตัวสูงพลาง มันไม่ใช่ปัญหาเลยที่เธอ และเขาจะเข้าใกล้ลานนั่นในเวลาไม่ถึงนาที เพราะข้อดีที่สุดของขโมยอย่างพวกเธอคงจะมีเพียงเรื่องเดียวที่พอจะลบความอัปยศจากการถูกจับเข้าคุกได้ นั่นก็คือ ความเร็ว
ร่างทั้งคู่อยู่ห่างจากพี่สาวไม่กี่เมตร ดวงตากลอกมองไปรอบด้านหาวิธีช่วยเหลือ เธอเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง ท่อนไม้ขนาดเท่าแขนแขวนอยู่กับหลังคายึดร้านค้าใกล้กัน รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบาง ก่อนที่หญิงสาวจะรียกคู่หูให้รับฟังแผนการร่วมกัน
“ตกลงเอาแบบนี้นะ งั้นแกไปทางนั้น ส่วนฉันจะไปทางนี้ แล้วไปเจอกันที่เดิม ถ้าเลย 2 ชั่วยามแล้ว อีกฝ่ายยังไม่มา ให้หนีไปก่อนได้เลย” หญิงสาวช้อนเนตรแดงสบกับดวงตาอีกคู่ แล้ววิ่งเข้าหาท่อนไม้ เธอออกแรงดึงสุดแรงเกิดจนไม้นั้นหลุดร่วงพื้นตามมาด้วยหลังคาร้านค้าที่ผูกติดกับมันอยู่
ความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแผ่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อหลังคาร้านค้าร้านแรกร่วงลงมา มันจึงดึงหลังคาร้านอื่นที่พ่วงกันลงมาเป็นทอดๆ จากเสียงแสดงความชื่นชมกษัตริย์ บัดนี้ถูกกลบด้วยเสียงหวีดร้องของผู้คน ที่ต่างหนีตายจากการโดนสิ่งก่อสร้างหล่นทับ
ส่วนเจ้าตัวต้นเรื่องนั้นยังคงวิ่งทำลายข้าวของต่อไป มันเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้งอสร้างความวุ่นวายให้มากที่สุด ส่วนที่เหลือก็ได้แต่พึ่งเขา ดวงตามองไปยังแท่นเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งเงาของหญิงสาวนัยน์ตาแดง
รอยยิ้มผุดขึ้นอีกครั้ง และต้องหุบลงอย่างฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงถัดมา
“จับมันไว้! นังเด็กนั่น! มันเป็นพวกเดียวกัน!” เสียงอึกทึกดังกว่าเก่า และใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว! เหตุการณ์เก่าๆ เหมือนถูกฉายซ้ำซ้อน ก็ไอ้ครั้งสุดท้ายที่โดนทหารเป็นกองแบบนี้ไล่ตามจุดจบของเธอก็คือคุก!
เท้าบางวิ่งลัดเลาะผ่านผู้คนอย่างคล่องแคล่ว แต่ยังไม่ทันจะพ้นเขตเมือง ชีวิตเธอก็เหมือนจะได้พบจุดจบอีกครั้ง! เมื่อสาวเจ้าเกิดสะดุดท่อนไม้จนหกล้มลงจูบธรณี! จะไม้ที่ไหนซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ไม้ท่อนแรกที่เธอกระชากมันลงมา!
ใครจะไปคิดว่ากรรมมันจะตามสนองเร็วขนาดนี้! โดยเฉพาะกรรมที่ทำกับท่อนไม้! มันเร็วจนเธอต้องถูกจับมาห้อยต่องแต่งแทนพี่สาว!
หัวสมองเริ่มคิดฟุ้งซ่าน เมื่อเชือกพันจนรอบร่าง เธอนึกอยากจะให้เรื่องมันจบแบบหักมุม ให้มันจบโดยไม่มีใครต้องเจ็บตัว หรือให้เจ้าเพชรฌฆาตหน้าโหดนี่มันมาตกหลุมรักเธอก็ได้! อะไรก็ได้ที่ทำให้เธอหลุดออกไปจากสถานการณ์แบบนี้!
“ประหาร!!!” ชายฉกรรณ์เบื้องหน้ายิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงื้อมือขึ้นและ........!!!
!!!
ซ่า!!!
“ตื่นสายตลอด! กว่าจะตื่นได้ต้องให้สาดน้ำทุกวันเลยสิน่า!” เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังเป็นระยะ หญิงสาวลูบใบหน้าที่เปียกชื้นของตนไปมา กี่รอบแล้วนะ ที่ฝันแบบนี้ ฝันซ้ำไปซ้ำมา แถมยังเป็นฝันของเหตุการณ์ในอดีตอีก
มันก็ผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้ว แต่มันก็ยังคงฉายชัดในห้วงจินตนาการ ยังไงก็ช่างเถอะ อดีตยังไงก็ต้องเป็นอดีตอยู่วันยังค่ำ ปัจจุบันสำคัญที่สุด! โดยเฉพาะปัจจุบันที่มีกลิ่นขนมปังลอยมาแตะจมูกแบบนี้ซะด้วยสิ!
ร่างบางออกวิ่งทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกโชก ประตูห้องครัวเปิดออกพร้อมกับภาพบุคคลทั้งสามที่คุ้นตา
“เข้ามากินขนมปังก่อนสิ พี่สาวเราเค้าทำเองเลยนะ”
ผลงานอื่นๆ ของ wattermelon ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ wattermelon
ความคิดเห็น